วงคุยแหลงให้เทือน – ขับขี่เมืองที่ปลอดภัยถอดบทเรียน Design for Change ผ่านวงคุยจากนักวิชาการ นักออกแบบ จากเทศกาลงานออกแบบปักษ์ใต้ 2568 – South Paradise

ระหว่างวันที่ 28 สิงหาคม – 7 กันยายน 2568 ย่านเมืองเก่าสงขลากลายเป็นเวทีแห่งการเรียนรู้และจุดประกายไอเดียใหม่ ๆ ในงาน เทศกาลงานออกแบบปักษ์ใต้ 2568 – South Paradise (มาใต้ บายใจให้ถึงหวัน) ภายใต้ความร่วมมือของ กรรมาธิการสถาปนิกทักษิณ สมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ พร้อมด้วยภาคีเครือข่ายคนรุ่นใหม่ อาทิ HOG Life Member Community, Thailand (South), Harley Hatyai, Soul South Studio, สาขาสถาปัตยกรรม มทร.ศรีวิชัย, สาขานวัตกรรมการออกแบบสื่อ ม.อ.ปัตตานี และสาขาออกแบบสร้างสรรค์ มรย.ยะลา

เวทีเสวนา Talk  “แหลงให้เทือน – ขับขี่เมืองที่ปลอดภัย” ที่เชื่อมโยงแนวคิด Design for Changeเข้ากับโจทย์ท้าทายของสังคมปักษ์ใต้เรื่อง “อุบัติเหตุทางถนน” โดยใช้พลังการออกแบบ การสื่อสารสร้างสรรค์ และความร่วมมือเชิงนโยบายเป็นเครื่องมือขับเคลื่อน

เวทีเสวนาที่มากกว่าการพูดคุย

ตลอด 10 วันของเทศกาล มีเวทีเสวนากว่า 8 หัวข้อ ครอบคลุมตั้งแต่การอนุรักษ์เมืองเก่าไปจนถึงการสร้างสรรค์ย่านใหม่ เช่น

• Old Towns, New Futures การพัฒนาเมืองเก่าสงขลา

• เปลี่ยนเมืองโดยไม่เปลี่ยนราก การสร้างสรรค์ย่าน ภูเก็ต – ตะกั่วป่า

• การสร้างสรรค์ระดับย่านจอร์จทาวน์ / งานอนุรักษ์

• Café Walk Songkhla Brew & Design – สถาปนิกพาแลร้านกาแฟเมืองเก่า

• Gateway Stories of Songkhla – ประตูเมืองเก่าในฐานะประตูสู่อนาคต

• เปลี่ยนเมืองให้เป็นของเรา เมืองเล็ก ความคิดใหญ่

• ปรับอาคาร เปลี่ยนย่าน สร้างชีวิต

• ตึกเก่า มือใหม่ – สถาปนิกรุ่นใหม่กับการเปลี่ยนเมือง

• เมื่อเมืองเก่าเดินหน้า จากปีนังถึงปักษ์ใต้

ในบรรยากาศที่อบอวลด้วยเสน่ห์ของเมืองเก่า เสียงของคนรุ่นใหม่และนักออกแบบดังขึ้นบนเวที “แหลงให้เทือน” เพื่อเล่าถึง บทเรียนการออกแบบสื่อและเครื่องมือสุขภาวะ ที่ถูกนำมาใช้จริงในการลดอุบัติเหตุทางถนนในพื้นที่ภาคใต้

เยาวชนในบทบาท “นักออกแบบเมืองปลอดภัย”

เบื้องหลังเวทีนี้คือการทำงานของ ทีมคณะทำงาน Design for Change ภายใต้ ศูนย์สร้างสรรค์สื่อเพื่อเด็ก เยาวชน และครอบครัว (ยกกำลังสุข)  จุดเน้นคือการให้ เยาวชนมีส่วนร่วมออกแบบสื่อเพื่อสังคมตั้งแต่การระบุจุดเสี่ยง ปรับพฤติกรรม ไปจนถึงการผลักดันมาตรการเชิงท้องถิ่น บนเวที เสียงสะท้อนจากเครือข่ายเยาวชนบอกเล่าอย่างชัดเจนว่า

“ความปลอดภัยบนถนนไม่ใช่เรื่องของใครคนเดียว แต่เป็นเรื่องของทุกคนในชุมชน เราเลือกใช้สื่อและการออกแบบเป็นเครื่องมือเพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมและเปลี่ยนเมืองของเรา”

จากการออกแบบสื่อสู่การขับเคลื่อนเชิงนโยบาย

สิ่งที่น่าสนใจคือ การนำเครื่องมือสุขภาวะมาผสานกับการออกแบบเมือง เช่น

• การสร้าง โมเดลจำลองจุดเสี่ยง ที่แปลงข้อมูลอุบัติเหตุเป็นแผนที่มองเห็นง่าย

• สื่ออินโฟกราฟิกและออนไลน์แคมเปญ ที่เข้าถึงเยาวชน

• การเสนอ มาตรการลดความเร็ว และการกำกับติดตามโดยชุมชนเอง

เทศกาลจึงไม่ใช่เพียงพื้นที่จัดแสดงศิลปะการออกแบบ แต่คือพื้นที่ทดลอง “ออกแบบเมืองที่ปลอดภัย” ผ่านการร่วมมือของสถาปนิก นักออกแบบ นักวิชาการ เครือข่ายมอเตอร์ไซค์ และคนในชุมชน

บรรยากาศที่ศูนย์กลางเมืองเก่า

การเสวนาและกิจกรรมจัดขึ้นท่ามกลางอาคารเก่าแก่ในย่านเมืองเก่าสงขลา ทุกหัวข้อเสวนาเต็มไปด้วยผู้ฟังที่เป็นทั้งเยาวชน สถาปนิก นักวิชาการ และชาวบ้าน บางช่วงมีการแสดง Performance & Show ของคนรุ่นใหม่ สะท้อนมิติศิลปะ วัฒนธรรม และความปลอดภัยทางถนนในแบบที่จับใจคนดู

ASA MARKET ก็เปิดพื้นที่ให้เยาวชนและผู้ประกอบการท้องถิ่นนำเสนอผลงานออกแบบ ขณะที่กิจกรรม Café Walk Songkhla Brew & Design ทำให้ผู้เข้าร่วมสัมผัส “เมืองเก่า–เมืองใหม่” ในมิติการออกแบบที่ผสานความปลอดภัยเข้ากับวิถีชีวิต

ถอดบทเรียน Design for Change

จากเทศกาลครั้งนี้ สิ่งที่ได้ชัดเจนคือ บทเรียนการออกแบบเพื่อเปลี่ยนแปลงเมือง ได้แก่

1. การใช้สื่อเป็นเครื่องมือ – เยาวชนสามารถสื่อสารประเด็นสุขภาพและความปลอดภัยให้เข้าใจง่าย และเข้าถึงสังคมกว้าง

2. การเชื่อมโยงนโยบายท้องถิ่น – ข้อเสนอของคนรุ่นใหม่ถูกนำไปสู่การหารือกับเทศบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

3. การสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัย – เมื่อเยาวชนเป็นเจ้าของโครงการ คนในชุมชนก็พร้อมร่วมมือมากขึ้น

4. การสร้างการมีส่วนร่วมข้ามเครือข่าย – จากสถาปนิก นักออกแบบ ไปจนถึงนักบิด Harley-Davidson ทุกเสียงถูกดึงเข้ามาเป็นพลังขับเคลื่อนเดียวกัน

บทสรุป: เมืองที่ทุกคนมีส่วนร่วมออกแบบ

เทศกาลงานออกแบบปักษ์ใต้ 2568 ไม่ได้จบลงแค่การเสวนา แต่คือการเริ่มต้นของการ สานพลังเยาวชน–นักออกแบบ–ชุมชน–ผู้กำหนดนโยบาย ให้ขับเคลื่อนเมืองปลอดภัยจริงในภาคใต้

เสียงสะท้อนจากเวที “แหลงให้เทือน” ยืนยันว่า เมื่อคนรุ่นใหม่มีพื้นที่ออกแบบและสื่อสาร เมืองเล็กอย่างสงขลา–นครนอก ก็สามารถเป็นต้นแบบของการลดอุบัติเหตุทางถนนและสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้จริง