Project thumbnail

หลักสูตร ครูวิทยากร"โตไปไม่สูบ"

โปรเจกต์

โตไปไม่สูบ

ประกาศเมื่อ

11 พฤษภาคม 2568

คำอธิบาย

หลักสูตร ครูวิทยากรโตไปไม่สูบ

ที่มาและความสำคัญ    


ตามที่รัฐบาลคณะรัฐมนตรีให้เล็งเห็นความความสำคัญของปัญหาและสถานการณ์บุหรี่ไฟฟ้าที่แพร่ระบาดหนักในกลุ่มเด็กและเยาวชน โดยเฉพาะตามการประกาศกระทรวงศึกษาธิการเกี่ยวกับนโยบายการป้องกันและแก้ไขปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าในสถานศึกษา ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มนักเรียนได้กลายเป็นภัยเงียบที่แทรกซึมเข้าสู่สถานศึกษาอย่างรวดเร็ว ผ่านกลยุทธ์การตลาดที่แยบยลของบริษัทยาสูบ โดยเน้นเจาะกลุ่มเยาวชนเป็นเป้าหมายหลัก ไม่ว่าจะด้วยรูปลักษณ์ทันสมัย กลิ่นหอม หรือการโฆษณาผ่านโลกโซเชียลที่เข้าถึงง่าย ด้วยเหตุนี้ กระทรวงศึกษาธิการจึงได้ออก ประกาศนโยบายและมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในสถานศึกษาอย่างจริงจัง โดยกำหนดให้สถานศึกษาเป็นพื้นที่ปลอดบุหรี่ทุกชนิด รวมถึงบุหรี่ไฟฟ้า มุ่งเน้นให้ครูเป็น
กลไกสำคัญในการสร้างความตระหนักรู้ ป้องกันนักสูบหน้าใหม่ ส่งเสริมการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อเสริมภูมิคุ้มกันทางปัญญาให้กับนักเรียน

สสส. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ โดยเครือข่ายโตไปไม่สูบ ร่วมกับภาคีเชิงยุทธศาสตร์ไม่เอาบุหรี่ไฟฟ้าได้เล็งเห็นความสำคัญต่อปัญหาและสถานการณ์นี้อย่างมาก เพื่อขานรับนโยบายนี้ จึงขอเปิดรับสมัครครูในพื้นที่ภาคใต้ เข้าร่วมหลักสูตร ครูวิทยากรภาคใต้ PROTECT NEW GEN โตไปไม่สูบ  เพื่อร่วมกันสร้างห้องเรียนปลอดภัย โรงเรียนสร้างสรรค์ และปลอดบุหรี่ไฟฟ้า ผ่านกระบวนการเรียนรู้แบบInclusive Education โดยใช้หลักการของ Active Learning มาออกแบบและจัดกระบวนการ พร้อมทั้ง ติดอาวุธความรู้ทันกลยุทธ์การตลาดของบริษัทยาสูบ Up Skill การจัดการเรียนรู้ที่ป้องกันนักสูบหน้าใหม่  และออกแบบนวัตกรรมลดปัจจัยเสี่ยงในโรงเรียน

เป้าหมายสำคัญ เสริมศักยภาพครูต้นแบบป้องกันนักสูบหน้าใหม่ ด้วยกระบวนการ Inclusive Education และมีส่วนร่วมในการออกแบบและร่วมจัดกิจกรรมรณรงค์เครือข่ายโตไปไม่สูบสู่นวัตกรรมลดปัจจัยเสี่ยงในโรงเรียนเครือข่าย

 

วัตถุประสงค์
1. เพื่อพัฒนาครูให้เป็นวิทยากรต้นแบบด้านการเรียนรู้เพื่อป้องกันการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในโรงเรียน 
2. เพื่อให้ครูมีความรู้ทันกลยุทธ์ทางการตลาดของบริษัทยาสูบ และสามารถจัดกระบวนการเรียนรู้เชิงรุกที่เหมาะสมกับผู้เรียนทุกกลุ่ม 
3. เพื่อสร้างนวัตกรรมหรือกิจกรรมต้นแบบที่ช่วยลดปัจจัยเสี่ยงในโรงเรียนอย่างยั่งยืน

 

เนื้อหาหลักสูตร แบ่งออกเป็น 4 เรื่อง ดังนี้

เรื่อง

สาระสำคัญ

1. ความรู้เท่าทันบุหรี่ไฟฟ้าและกลยุทธ์การตลาด

 

- เจาะลึกกลยุทธ์การตลาดเชิงจิตวิทยา 

- สถิติ แนวโน้ม และผลกระทบต่อเยาวชน 

2. Inclusive Education กับการป้องกันนักสูบหน้าใหม่

- เข้าใจความหลากหลายของผู้เรียน 

- การสร้างพื้นที่ปลอดภัยและเสริมพลังให้ทุกคนมีส่วนร่วม 

- การเข้าถึงกลุ่มเปราะบางและกลุ่มเสี่ยง

3. Active Learning & Innovative Tools

- การจัดกิจกรรมแบบลงมือคิด ลงมือทำ (PBL / Debate / Role Play / Infographic) 

- ตัวอย่างกิจกรรมที่เข้าถึงได้ทั้งเด็กกลุ่มเนิร์ด กลุ่มกิจกรรม กลุ่ม LGBTIQ เด็กเก็บตัว ฯลฯ 

- ออกแบบนวัตกรรมโรงเรียนลดปัจจัยเสี่ยง

4. การสร้างเครือข่ายครูวิทยากรภาคใต้ โตไปไม่สูบ

- การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ 

- การเป็นพี่เลี้ยงให้ครูคนอื่นในพื้นที่ 

- การขยายผลสู่โรงเรียนต้นแบบ

 

กรอบแนวคิด (Conceptual Framework) ของ Inclusive Education เรียบเรียงโดย สุรเชษฐ์ ตรรกโชติ Content Developer Cohort 2 Alumni Teach For Thailand

การเรียนรวม (Inclusive Education) คือ รูปแบบของการศึกษาทั่วไปที่ทุกคนควรจะได้รับอย่างเท่าเทียมกัน และสำหรับเด็กพิเศษหรือเด็กที่เป็นโรคบกพร่องทางการเรียนรู้ การศึกษาในรูปแบบรวม ไม่ควรเป็นเพียงทางเลือกสำหรับพวกเขา เมื่อความผิดปกติทางร่างกาย และสมองของพวกเขาคือสิ่งที่ดูเหมือนจะพรากโอกาสหลายๆ อย่างจากพวกเขาไป เนื่องจากความสามารถทางการอ่าน เขียน และการคำนวณนั้นเป็นอุปสรรคต่อกระบวนการเรียนรู้ ดังนั้นการได้เข้าถึงโอกาสในการเรียนรวมจึงมีความสำคัญ โดยไม่เพียงแต่ในห้องเรียน แต่รวมถึงชุมชน และผู้คนในสังคมที่สามารถเป็นส่วนหนึ่งที่มีสามารถเข้ามามีบทบาทในการสนับสนุนการเติบโตของเด็กๆ กลุ่มดังกล่าว ผ่านการออกแบบบทบาทหน้าที่ของตัวเองในลักษณะที่เอื้อต่อการเรียนรู้ และเติบโตของพวกเขามากขึ้น และร่วมกันเป็นตัวอย่างของสังคมที่ไม่ได้กีดกันพวกเขาออกจากการมีส่วนร่วมทั้งในรั้วโรงเรียน และเมื่อพวกเขาก้าวออกไปจากรั้วโรงเรียนในฐานะมนุษย์คนหนึ่งในสังคม เช่นเดียวกับการก้าวเข้ามาของสิ่งที่แตกต่างจากความคุ้นเคยของผู้คนทั่วไปในสังคม การจัดการศึกษาที่รองรับการเรียนรวม อาจชวนให้เกิดคำถามขึ้นในหมู่ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะพ่อแม่ ผู้ปกครอง รวมไปถึงครูผู้สอนที่มีหน้าที่รับผิดชอบ ว่าการเรียนรวมนั้นดีต่อนักเรียนกลุ่มที่เป็นโรคบกพร่องทางการเรียนรู้จริงหรือเปล่า เราจึงจะสำรวจความเป็นไปได้เมื่อมีการเรียนรวมที่มีประสิทธิภาพ ดังนี้

1.ด้านนักเรียน จากการศึกษาจำนวนมากในช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมาพบว่า นักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ มีผลลัพธ์ทางการเรียน และมีทักษะที่ดีขึ้นในห้องเรียนที่มีการเรียนรวม รวมทั้งพวกเขามีแนวโน้มที่จะแสดงพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ และมีการขาดเรียนที่ลดลง ซึ่งการวิจัยชี้ว่าในห้องเรียนที่สามารถจัดการเรียนรวมได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น หนึ่งในสิ่งที่นักเรียนจะได้ฝึกฝนคือทักษะการเข้าสังคม ซึ่งเป็นกระบวนการที่จะสะท้อนให้พวกเขามองเห็นตัวเอง และคนอื่นๆ ชัดเจนขึ้น และงานวิจัยยังระบุอีกว่านักเรียนที่ไม่ได้เป็นโรคบกพร่องทางการเรียนรู้ ก็มีแนวโน้มที่จะพัฒนาขึ้นในห้องเรียนที่มีการเรียนรวมด้วยเช่นกัน ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการที่การสื่อสารในห้องเรียนลักษณะดังกล่าว จำเป็นต้องเป็นมิตรกับลักษณะของผู้เรียนที่มีความต้องการหลากหลายมากขึ้น เช่นนักเรียนที่เรียนรู้จากการฟัง การได้ดูภาพ และการได้ลงมือทดลองและหยิบจับสิ่งต่างๆ และนั่นทำให้นักเรียนทุกคนในห้องได้สำรวจ และค้นพบแนวทางการเรียนรู้ที่เหมาะกับตัวเองมากขึ้นด้วย

2.ด้านครอบครัว การศึกษาในปี 2010 พบว่าผู้ปกครองของเด็กที่เป็นโรคบกพร่องทางการเรียนรู้ส่วนหนึ่งยังมีความรู้สึกไม่มั่นใจอยู่บ้างเมื่อพูดถึงการส่งบุตรหลานเข้าสู่ระบบเรียนรวม แต่การศึกษาดังกล่าวก็พบว่าทัศนคติของผู้ปกครองมีแนวโน้มที่จะดีขึ้นเรื่อยๆ ตามระยะเวลาที่เด็กๆ ที่มีความท้าทายพิเศษในการเรียนรู้ได้เข้ามาเรียนรวม และในขณะเดียวกันผู้ปกครองของเด็กคนอื่นๆ ในห้องก็มีทัศนคติ และความรู้สึกที่เป็นไปในเชิงบวกต่อการเรียนรวมด้วยเช่นกัน

3.ด้านคุณครู ในการศึกษาชิ้นเดียวกันนั้นยังพบความคล้ายคลึงในด้านของความรู้สึกต่อการเรียนรวมจากมุมของคุณครู กล่าวคือถ้าหากคุณครูมีประสบการณ์มากขึ้นกับการจัดการเรียนการสอนในรูปแบบดังกล่าว หรือโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้รับการอบรมเฉพาะทางในด้านดังกล่าวมา ก็จะมีแนวโน้มที่จะมองการเรียนรวมด้วยทัศนคติในเชิงบวกมากขึ้น ซึ่งความรู้สึกดีๆ ที่มองเห็นความเป็นไปได้ และการออกแบบการสอนไปจนถึงก้าวเข้าห้องเรียนไปด้วยความรู้สึกนั้น เป็นหนึ่งในหัวใจที่สำคัญที่ทำให้การเรียนรวมประสบความสำเร็จ

ดังนั้น การออกแบบห้องเรียนที่เป็นมิตรต่อผู้เรียนทุกคน ใช้รูปแบบการเรียนการสอนที่หลากหลาย โดยเราสามารถเริ่มต้นจากการสอนนักเรียน และพาให้นักเรียนทำกิจกรรมร่วมกันทั้งห้องก่อน ก่อนจะปรับเปลี่ยนให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นด้วยการค่อยๆ ทำให้ขนาดของกลุ่มที่เล็กลงเพื่อให้นักเรียนทุกคนได้มีบทบาทมากขึ้น รวมถึงการเลือกใช้อุปกรณ์ต่างๆ ที่จะสามารถเชื่อมต่อการสื่อสาร ทั้งระหว่างนักเรียนด้วยกันเอง หรือนักเรียนกลับมาที่คุณครูเพื่อตรวจสอบความเข้าใจว่าเราไม่ได้กำลังทิ้งใครไว้ข้างหลังโดยไม่ได้เจตนา ยกตัวอย่างเช่นการให้นักเรียนทำกระดานไวท์บอร์ดจากแฟ้มใส และแผ่นพลาสติกสำหรับใช้เขียนสิ่งต่างๆ ซึ่งนอกจากจะเป็นการสื่อสารที่เป็นมิตรมากขึ้นกับนักเรียนที่ในช่วงแรกๆ อาจจะยังรู้สึกไม่พร้อมต่อการส่งเสียงดังๆ ออกมาในห้องเรียน กระบวนการในการทำกิจกรรมร่วมกันยังจะเป็นโอกาสในการพัฒนาความสัมพันธ์ และเรียนรู้ซึ่งความแตกต่างของกันและกันในหมู่นักเรียนด้วย

 

การออกแบบ และตรวจสอบโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาในห้องเรียน โดยเริ่มจุดแรกจากการมีเป้าหมายร่วมกันในห้องเรียนนั้นๆ และในแต่ละคาบที่เราเข้าไปสอน และมีเส้นทางที่ชัดเจนที่เป็นมิตรต่อนักเรียนทุกคนในห้องเรียนรวม หนึ่งในสิ่งที่คุณครูสามารถทำได้เลยในคาบต่อๆ ไปคือการออกคำสั่งอย่างชัดเจน เป็นรูปธรรม เช่น นักเรียนจับกลุ่ม กลุ่มละ 5 ถึง 6 คน กลุ่มไหนได้คนครบแล้วให้ ทุกคนในกลุ่มยกมือขึ้น เป็นต้น การจัดการห้องเรียนที่เป็นมิตรต่อการเดินทางของผู้เรียนนคาบนั้นๆ ยังมีประโยชน์อีกหนึ่งต่อคือถ้านักเรียนรู้ว่าตอนนี้พวกเขาจะต้องทำอะไร จะต้องโฟกัสกับอะไร และต่อไปจะทำอะไรต่อ โอกาสในการเกิดพฤติกรรมที่นอกลู่นอกทางขึ้น (ทั้งในกรณีของนักเรียนที่เป็นโรคบกพร่องทางการเรียนรู้ และนักเรียนคนอื่นๆ ในห้อง) ก็จะลดน้อยลง

การออกแบบห้องเรียนที่สื่อสารกับทุกคน การจะสอนเนื้อหาสักบทหนึ่งนั้นย่อมมีความเป็นไปได้ในการถ่ายทอดออกผ่านรูปแบบที่หลากหลาย เช่นการพูดบรรยาย หรือการให้นักเรียนได้กลับไปค้นคว้าเองเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ โดยในห้องเรียนรวมคุณครูเองจำเป็นที่จะต้องศึกษาถึงเครื่องมือที่เป็นจุดร่วมของความเหมาะสมระหว่างการสอนนักเรียนที่เป็นโรคบกพร่องการเรียนรู้ และการสอนเด็กๆ คนอื่นๆ ยกตัวอย่างกิจกรรมเช่นการให้ดูสื่อการสอนภาพขนาดใหญ่ การใช้หูฟังเพื่อลดสิ่งที่อาจรบกวนนักเรียนจากภายนอก และเปิดกว้างในการรับฟังเสียงตอบกลับจากนักเรียนที่หลากหลาย แม้จะเป็นในใบงานที่ถามหาข้อเท็จจริง ซึ่งนักเรียนบางคนอาจเลือกที่จะวาดภาพมา แทนการเขียนตอบ รวมถึงคุณครูอาจต้องวางแผนเผื่อสำหรับ เวลาสำหรับหยุดคิด ก่อนที่จะลงมือทำพร้อมกันเพื่อให้นักเรียนทุกคนได้ทบทวนแผนของตัวเอง และเพื่อให้นักเรียนทุกคนได้รับโอกาสในการก้าวเข้าสู่บทเรียนในเรื่องนั้นพร้อมๆ กัน

 

แหล่งอ้างอิง

(1) “Inclusive Education: What It Means, Proven Strategies, and a Case Study” By Lilla Dale McManis, PhD, retrieved on September 11, 2020 from https://resilienteducator.com/classroom-resources/inclusive-education/

 

(2) Erasmus Training Course on “Special needs and inclusive education, the Italian experience of overcoming segregation”, retrieved on September 11, 2020 from https://www.erasmustrainingcourses.com/special-needs-inclusive-education.html

 

จากกรอบแนวคิด ที่เชื่อมโยง Inclusive Education กับการป้องกันเด็กและเยาวชนจากปัญหาบุหรี่ไฟฟ้า ผ่านกระบวนการ Active Learning อย่างเป็นระบบ ช่วยให้ครูหรือผู้ออกแบบโครงการเห็นภาพชัด และสามารถนำไปใช้เขียนโครงการ หรืออบรมได้อย่างมืออาชีพ : Inclusive Education + Active Learning = พื้นที่ปลอดภัย ป้องกันนักสูบหน้าใหม่

หลักการของ Inclusive Education เป็นการศึกษาที่เปิดกว้าง ครอบคลุม และเคารพความหลากหลายของผู้เรียน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เน้นให้ ทุกคนมีส่วนร่วมและ มีคุณค่าในห้องเรียนเดียวกันไม่ว่าจะแตกต่างกันทางเพศ สังคม พฤติกรรม หรือการเรียนรู้ ในบริบทของการป้องกันบุหรี่ไฟฟ้า Inclusive Education ช่วยให้ครูเข้าถึง กลุ่มเสี่ยงที่อาจถูกมองข้ามเช่น เด็กเก็บตัว ไม่กล้าปฏิเสธเพื่อน  เด็กขอบเขตพฤติกรรมล่อแหลม เด็ก LGBTQ+ ที่อาจโดนกลั่นแกล้ง เด็กที่มีภาวะซึมเศร้าหรือขาดการยอมรับซึ่งมักเป็นกลุ่มเป้าหมายที่การตลาดของบริษัทยาสูบเข้าถึงได้ง่าย

เป้าหมายของ Active Learning ในแนวทาง Inclusive ให้ผู้เรียน เรียนรู้ผ่านการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง สามารถส่งเสริมการคิดวิเคราะห์ และตัดสินใจเชิงจริยธรรม กระตุ้นความกล้าแสดงออก การเห็นคุณค่าในตัวเอง และเปิดโอกาสให้แต่ละคนได้ เลือกบทบาทที่เขารู้สึกปลอดภัย เมื่อใช้ร่วมกับเรื่อง บุหรี่ไฟฟ้า” Active Learning ช่วยให้ผู้เรียน ไม่ตกเป็นเหยื่อของการตลาด เพราะมีทักษะวิเคราะห์ กล้าปฏิเสธเพื่อนหรือโซเชียลมีเดียสร้างพลังทางเลือกใหม่ เช่น การทำกิจกรรมสร้างสรรค์, แสดงความคิดผ่านศิลปะหรือดนตรี ฯลฯ

ดังนั้น การเชื่อมโยงแนวคิดเป็นภาพรวม (Framework Diagram) Inclusive Education ส่งผลให้เข้าถึงนักเรียนทุกกลุ่ม สามารถสร้างพื้นที่ปลอดภัยในห้องเรียน เกิดการเห็นคุณค่าในความหลากหลาย Active Learning มีกระบวนการ ถาม-ฟัง-คิดร่วมกัน สามารถเรียนรู้ผ่านสถานการณ์จำลอง (Role Play, Case Study) ทำกิจกรรมร่วมกันแบบกลุ่มผสม สามารถพัฒนา "ภูมิคุ้มกันทางความคิด" เพื่อป้องกันเด็กและเยาวชนจากการใช้บุหรี่ไฟฟ้า

 

องค์ประกอบสำคัญของกรอบแนวคิดนี้ (Core Components)

องค์ประกอบ

รายละเอียด

เป้าหมาย

1. Student Voice

เปิดพื้นที่ให้นักเรียนได้แสดงความคิดเห็น พูดถึงความรู้สึกต่อแรงจูงใจจากบุหรี่ไฟฟ้า

ลดอิทธิพล peer pressure และโฆษณา

2. Peer Support

ส่งเสริมการช่วยเหลือกันในกลุ่มนักเรียน เช่น Buddy System

สร้างพลังเพื่อนต้านพฤติกรรมเสี่ยง

3. Diversity Inclusion

เคารพและให้คุณค่ากับความแตกต่าง เช่น LGBTQ+, เด็กต่างชาติ, เด็กที่ถูกละเลย

ลดการใช้บุหรี่เป็นที่พึ่งทางจิตใจ

4. Reflection & Critical Thinking

การถอดบทเรียนในกิจกรรม เช่น ถ้าเพื่อนชวนสูบ เราจะทำอย่างไร?”

เสริมทักษะคิดต้านโฆษณาและกลยุทธ์บริษัท

5. Creative Expression

เปิดโอกาสให้นักเรียนสื่อสารผ่านศิลปะ ดนตรี การแสดง ฯลฯ

สร้างพลังบวกทางเลือกแทนการใช้บุหรี่

 

กลุ่มเป้าหมาย 

- ครูระดับประถมศึกษา หรือมัธยมศึกษาในพื้นที่ภาคใต้ 

- ครูผู้สนใจขับเคลื่อนกิจกรรมป้องกันนักสูบหน้าใหม่ในสถานศึกษา

- ครูที่มีศักยภาพเป็นวิทยากรหรือพี่เลี้ยงการจัดกิจกรรมกับนักเรียน

 

ผลลัพธ์ที่คาดหวัง 

- ครูอย่างน้อย 25 คน ผ่านการอบรมและสามารถเป็น วิทยากรระดับพื้นที่ 

- มีนวัตกรรมหรือต้นแบบกิจกรรมป้องกันบุหรี่ไฟฟ้าในโรงเรียน 

- เกิดเครือข่าย โรงเรียนลดปัจจัยเสี่ยงที่เชื่อมโยงกันในระดับภาคใต้ 

- นักเรียนกลุ่มเสี่ยงได้รับการเข้าถึงอย่างเท่าเทียม ผ่านแนวทาง Inclusive Education

รายละเอียด

คู่มือจัดกิจกรรม หัวข้อ : Inclusive School, Smoke-Free Future
: เรียนรู้ ป้องกัน ออกแบบนวัตกรรมลดนักสูบหน้าใหม่

 

แนวทางการออกแบบคู่มือและกิจกรรมสำหรับครูระดับประถมและมัธยม โดยเน้นกระบวนการเรียนรู้แบบ Inclusive Education + Active Learning เพื่อเสริมทักษะต้านกลยุทธ์การตลาดของบริษัทยาสูบ และออกแบบนวัตกรรมโรงเรียนลดปัจจัยเสี่ยงจากบุหรี่ไฟฟ้า

 

เป้าหมายของคู่มือ 

- เสริมความรู้ทันยุทธศาสตร์การตลาดของบริษัทยาสูบ 

- พัฒนาทักษะคิดวิเคราะห์ ออกแบบนวัตกรรมลดนักสูบหน้าใหม่ในโรงเรียน 

- ใช้ Active Learning และ Inclusive Education ให้ทุกคนมีส่วนร่วม โดยไม่แบ่งแยก

 

โครงสร้างคู่มือ 

บทเรียนรู้

รายละเอียด

บทที่ 1: ทำความเข้าใจ บุหรี่ไฟฟ้าและกลยุทธ์การตลาดยุคใหม่ 

- ความรู้พื้นฐาน: ผลกระทบต่อสุขภาพ 

- รูปแบบการตลาดใหม่ เช่น KOL, TikTok, ดีไซน์สินค้า, Influencer 

- เด็ก-เยาวชน = เป้าหมายหลักของการตลาด (จากสถิติ/เคส)

บทที่ 2: Inclusive Education กับการสร้างโรงเรียนปลอดภัย 

- หลักการสำคัญ: เคารพความหลากหลาย สร้างพื้นที่ปลอดภัย 

- ยกตัวอย่างนักเรียนกลุ่มเสี่ยง (เด็กเก็บตัว, เด็กหลังห้อง, เด็กซ่า, LGBTQ+, ฯลฯ) 

- การสร้างสภาพแวดล้อมให้ทุกคนมีเสียง (Student Voice)

บทที่ 3: Active Learning - ป้องกันนักสูบหน้าใหม่แบบลงมือทำ 

- Project-based / Problem-based Learning 

- เทคนิคตั้งคำถาม กระตุ้นการถกเถียง 

- Role Play / Debate / Infographic / Board Game

 

ตัวอย่างกิจกรรม  (แต่ละกิจกรรมสามารถใช้ได้ทั้งในประถมปลาย และมัธยมต้น-ปลาย โดยปรับระดับความยากง่าย)

กิจกรรม

เป้าหมาย

รูปแบบ

ขั้นตอน

กิจกรรมที่ 1: “จับโป๊ะการตลาด 

ให้ผู้เรียนวิเคราะห์และตั้งคำถามกับกลยุทธ์การตลาดบุหรี่ไฟฟ้า 

Active Learning + กลุ่มย่อย (Inclusive Discussion)

1. แจกภาพ/โฆษณาบุหรี่ไฟฟ้า (จริงหรือจำลอง)

2. นักเรียนวิเคราะห์ในกลุ่มว่าเขาใช้ จิตวิทยาอะไรดึงดูดวัยรุ่น

3. นำเสนอและสะท้อน ใครคือเป้าหมายของโฆษณานี้

4. ครูตั้งคำถามว่า "ถ้าคุณคือ Influencer ฝั่งดี จะทำโฆษณาแบบไหนเพื่อต้าน?"

กิจกรรมที่ 2: “เราเห็นคุณค่าในตัวเอง 

เสริม Self-esteem ต้นทุนชีวิตต้านภัยบุหรี่ไฟฟ้า

Circle Time / พื้นที่ปลอดภัย (Inclusive + Emotional Literacy)

1. ให้ทุกคนเล่า สิ่งที่ภูมิใจในตัวเองโดยไม่มีการขัดจังหวะ 

2. ครูเปิดประเด็นว่า ทำไมบางคนถึงหันไปพึ่งบุหรี่ไฟฟ้า?” 

3. กลุ่มระดมแนวทาง เราจะเป็นเพื่อนที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

กิจกรรมที่ 3: “โรงเรียนเราปลอดภัยยังไงดี?” 

ออกแบบนวัตกรรมโรงเรียนลดความเสี่ยง 

PBL - ออกแบบ Prototype ร่วมกัน (Inclusive Innovation)

1. นักเรียนรวมกลุ่มระดมความคิด (อาจรวมเด็กหลากหลายกลุ่ม เช่น เด็กกิจกรรม+เด็กเนิร์ด) 

2. ออกแบบสิ่งใหม่ เช่น 

   - แคมเปญออนไลน์ 

   - กำแพงระบาย (Wall of Feelings) 

   - ระบบเพื่อนพี่เลี้ยง (Buddy System) 

   - กิจกรรม ไม่สูบเราก็เท่ผ่านศิลปะ/ดนตรี 

3. นำเสนอเป็นโปสเตอร์ / วิดีโอสั้น 

4. ครูให้ฟีดแบ็กอย่างอ่อนโยนและยกย่องแนวคิดทุกกลุ่ม

บทส่งท้าย (สำหรับครูวิทยากร) 

 

ถอดบทเรียน

ร่วมแลกเปลี่ยน

- แนะนำวิธีปรับกิจกรรมให้เข้ากับผู้เรียนหลากหลายรูปแบบ 

- เทคนิคการเปิดใจ/ฟังอย่างไม่ตัดสิน 

- การเป็น Role Model และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของนักเรียนทุกคน

 

 

คำถามเพื่อสอบถามการเข้าร่วมอบรม
คำถามที่ 1 :  ท่านมีประสบการณ์ในการจัดกิจกรรมรณรงค์หรือส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพในโรงเรียนมาก่อนหรือไม่? หากมี โปรดระบุประเภทกิจกรรมและผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
วัตถุประสงค์: เพื่อประเมินพื้นฐานของครูผู้สมัคร และดูศักยภาพในการเป็นผู้นำกิจกรรม

คำถามที่
2 : ท่านมองเห็นปัญหาหรือแนวโน้มการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มนักเรียนของท่านอย่างไร? และคิดว่าควรมีแนวทางรับมือในระดับโรงเรียนอย่างไร?
วัตถุประสงค์: เพื่อประเมินความเข้าใจของผู้สมัครต่อสถานการณ์จริงในพื้นที่ตนเอง

คำถามที่
3: หากได้รับคัดเลือกเป็น ครูนวัตกรท่านมีไอเดียกิจกรรมที่อยากริเริ่มหรือร่วมมือกับนักเรียนเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในโรงเรียนอย่างไรบ้าง?
วัตถุประสงค์: เพื่อประเมินแนวคิดเชิงนวัตกรรมและทัศนคติที่เปิดกว้างต่อการมีส่วนร่วมกับนักเรียน

 

ลงทะเบียน.png

สื่อประกอบ (clip/ebook/pdf)

เอกสารประกอบ

แบบวัดผลออนไลน์

วิทยากร

ผศ.ดร.ลักขณา เติมศิริกุลชัย

ผศ.ดร.ลักขณา เติมศิริกุลชัย

ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาศักยภาพกำลังคนด้านการควบคุมยาสูบ

ประวัติวิทยากร
ผศ.ดร. พรไทย ศิริสาธิตกิจ

ผศ.ดร. พรไทย ศิริสาธิตกิจ

มหาวิทยาลัยทักษิณ

ประวัติวิทยากร
ผศ.ดร.วรภาคย์ ไมตรีพันธ์

ผศ.ดร.วรภาคย์ ไมตรีพันธ์

มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี

ประวัติวิทยากร
ฮาริส มาศชาย

ฮาริส มาศชาย

ผู้อำนวยการศูนย์สร้างสรรค์สื่อเพื่อเด็กเยาวชนและครอบครัว

ประวัติวิทยากร

รูปภาพ