Project thumbnail

ครูวิทยากร “โตไปไม่สูบ” พลิกห้องเรียนด้วยหัวใจนักปกป้องเด็กและเยาวชนจากบุหรี่ไฟฟ้า

โปรเจกต์

โตไปไม่สูบ

ประกาศเมื่อ

31 พฤษภาคม 2568

จำนวนการดู

21,891 ครั้ง

เมื่อครูไม่ใช่แค่คนสอน แต่คือผู้นำการเปลี่ยนแปลงโรงเรียนปลอดภัยจากบุหรี่ไฟฟ้า เสริมเกราะโรงเรียนภาคใต้ 14 จังหวัด ป้องกันภัยเงียบ ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ ด้วยพลังครูวิทยากร ผ่านการพลิกห้องเรียนด้วยหัวใจนักปกป้อง ครูต้นแบบผนึกกำลังหยุดยั้งบุหรี่ไฟฟ้า รวมพลังครู กว่า 48 คน เสริมพลังครูวิทยากรโตไปไม่สูบ ด้วย Inclusive Education

 

 

ภาคใต้ – ระหว่างวันที่ 31 พฤษภาคม – 1 มิถุนายน 2568 ณ โรงแรมเซาท์เทิร์น แอร์พอร์ต หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ได้มีการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการ “เสริมศักยภาพครูวิทยากร “โตไปไม่สูบ” ปกป้องเด็กและเยาวชนจากบุหรี่ไฟฟ้า ด้วยกระบวนการ Inclusive Education ภายใต้โครงการ “ภูมิคุ้มกันเด็กไทยไม่ตกเป็นเหยื่อบุหรี่ไฟฟ้า” โดยมีครูจากเครือข่ายกว่า 34 โรงเรียนใน 14 จังหวัดภาคใต้ เข้าร่วมจำนวนทั้งสิ้น 48 คน

 

 

ผศ.ดร.ลักขณา เติมศิริกุลชัย ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาศักยภาพกำลังคนด้านการควบคุมยาสูบ ได้กล่าวถึง สถานการณ์ในภาคใต้ขณะนี้ถือว่าน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น เราพบแนวโน้มการใช้บุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งจากผลสำรวจและการพูดคุยกับครูในพื้นที่ สาเหตุสำคัญมาจากการเข้าถึงง่าย การโฆษณาแฝงในโซเชียลมีเดีย และความเข้าใจผิดว่าบุหรี่ไฟฟ้า ‘ปลอดภัย’ กว่าบุหรี่มวน ทั้งที่ในความเป็นจริงไม่ใช่เลย ที่สำคัญคือ บริษัทยาสูบและผู้ค้าออนไลน์ใช้กลยุทธ์ที่มีเป้าหมายชัดเจนไปที่ ‘เด็ก’ และ ‘เยาวชน’ โดยเฉพาะ พวกเขาใช้วิธีที่ดูเหมือนไม่ใช่การตลาด เช่น แพ็กเกจน่ารัก กลิ่นผลไม้หลากหลายชื่อ เช่น ไอติมโซดา หรือ องุ่นเย็น ซึ่งไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มันเป็นการ ‘ออกแบบ’ มาเพื่อลดความรู้สึกต้านทานของเด็ก โดยเฉพาะการใช้ผู้มีอิทธิพลในโลกออนไลน์ หรืออินฟลูเอนเซอร์ ที่มีผู้ติดตามวัยรุ่น มาทำคอนเทนต์ในลักษณะที่สร้างความคุ้นชินและยกระดับบุหรี่ไฟฟ้าให้เป็นไลฟ์สไตล์ เช่น การรีวิวพอต การแต่งกลิ่นน้ำยา หรือแม้แต่การสอนวิธีสูบ นี่คือการตลาดที่อันตรายมาก เพราะมันบั่นทอนภูมิคุ้มกันทางสังคมของเยาวชนโดยตรง

 

 

ผศ.ดร.พรไทย ศิริสาธิตกิจ มหาวิทยาลัยทักษิณ ที่ปรึกษาโครงการ กล่าวว่า ในพื้นที่ภาคใต้ เราต้องเร่งเสริมความเข้มแข็งของโรงเรียน ชุมชน และโดยเฉพาะ ‘ครู’ ให้สามารถเป็นด่านหน้าในการสื่อสารเชิงป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเด็กส่วนใหญ่จะเชื่อคนใกล้ตัวมากกว่า ครูจึงเป็นกลไกสำคัญที่สุดในการสกัดการเติบโตของนักสูบหน้าใหม่ให้หยุดตั้งแต่ยังไม่เริ่ม

 

ผศ.ดร.พรไทย ได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า วันนี้เราไม่ได้สู้กับบุหรี่ธรรมดา แต่เรากำลังสู้กับอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยี ศิลปะ และข้อมูล เพื่อครอบงำความคิดของคนรุ่นใหม่ เราต้องตอบโต้อย่างมีระบบ และต้องเริ่มจากโรงเรียน จุดที่เด็กใช้ชีวิตมากที่สุด รวมไปถึงต้นแบบครูที่เข้มแข็ง จะเป็นศูนย์กลางในการขยายเครือข่ายป้องกันนักสูบหน้าใหม่ผ่านกิจกรรมที่ต่อเนื่อง เชื่อมโยงครูรุ่นใหม่ และสร้างนโยบายร่วมในระดับพื้นที่ได้

 

 

นายฮาริส มาศชาย ผู้อำนวยการศูนย์สร้างสรรค์สื่อเพื่อเด็กเยาวชนและครอบครัว กล่าวว่า เวทีนี้จัดขึ้นเพื่อเสริมสร้างบทบาทของครูให้เป็นวิทยากรต้นแบบ “โตไปไม่สูบ” ที่สามารถพัฒนาและขับเคลื่อนกิจกรรมรณรงค์ในโรงเรียน เพื่อลดความเสี่ยงจากพฤติกรรมการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเด็กและเยาวชน โดยวัตถุประสงค์หลักของการอบรม เพื่อพัฒนาครูให้เป็นวิทยากรต้นแบบด้านการเรียนรู้เพื่อป้องกันการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในโรงเรียน และส่งเสริมความรู้เท่าทันกลยุทธ์การตลาดของอุตสาหกรรมยาสูบ และการจัดการเรียนรู้เชิงรุกที่เข้าถึงนักเรียนทุกกลุ่ม พร้อมสร้างนวัตกรรมต้นแบบที่ช่วยลดปัจจัยเสี่ยงอย่างยั่งยืนในสถานศึกษา

 

ผศ.ดร.วรภาคย์ ไมตรีพันธ์ ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายวิจัยและพันธกิจสังคม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ให้เกียรติเป็นวิทยากรกระบวนการ ในหลักสูตรครูวิทยากรโตไปไม่สูบ ได้นำแนวคิด Active Learning & Innovative Tools มาร่วมออกแบบกิจกรรม ผ่านการเรียนรู้เชิงรุก ป้องกันนักสูบหน้าใหม่ ด้วยพลังของครูและนวัตกรรมที่ทุกคนเข้าถึงได้ โดยได้กล่าวว่า หนึ่งในปัญหาสำคัญของการป้องกันนักสูบหน้าใหม่คือ วิธีการสื่อสารในห้องเรียนยังคงยึดติดกับการสั่งสอนเชิงเดี่ยว ขณะที่เด็กยุคใหม่ต้องการการมีส่วนร่วมและต้องการพื้นที่ในการคิด วิเคราะห์ และเลือกเอง ครูจึงต้องปรับบทบาทจาก ‘ผู้ให้ความรู้’ เป็น ‘ผู้ออกแบบประสบการณ์’ และนี่คือเหตุผลที่เราใช้กระบวนการ Active Learning ร่วมกับเครื่องมือสร้างสรรค์ (Innovative Tools) ในการอบรมครูวิทยากร ‘โตไปไม่สูบ’ ครั้งนี้

 

 

 

“เราไม่ได้เพียงแค่พูดถึงโทษของบุหรี่ไฟฟ้า แต่เราพาให้ครูได้ลองออกแบบกิจกรรมด้วยมือของตัวเอง เช่น เกมบทบาทสมมุติ (Role Play), การ์ดเกมรู้เท่าทัน, การวิเคราะห์คลิป หรือการจำลองสถานการณ์ เพื่อให้ครูสามารถนำกลับไปใช้จริงในห้องเรียนของตนเอง และที่สำคัญคือ มันต้องสนุกและเข้าใจง่ายสำหรับนักเรียน” ผศ.ดร.วรภาคย์  กล่าว

 

ผศ.ดร.วรภาคย์ ไมตรีพันธ์ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ในการออกแบบหลักสูตรครูวิทยากร ‘โตไปไม่สูบ’ เราไม่ได้มองแค่เนื้อหาความรู้เรื่องโทษของบุหรี่ไฟฟ้าเท่านั้นนะครับ แต่เราให้ความสำคัญกับ ‘วิธีการเรียนรู้’ เพราะสิ่งที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมเด็กได้จริง ไม่ใช่การบอก แต่คือการทำให้เขา ‘เข้าใจ เห็นภาพ และอยากเปลี่ยน’ ด้วยตัวเอง”

การนำโมเดล 3R – Recap, Reflect, Recharge มาปรับใช้กับครูในช่วงท้ายกิจกรรมอบรม โดยในช่วง Recap ครูทำความเข้าใจเด็กโดยใช้คำถาม พยายามฟังอย่างตั้งใจ และทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้นที่ผ่านมา Reflect คือครูพยายามค้นหาชุดความคิดเดิมเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าให้กับเด็ก และพยายามสะท้อนคิดเพื่อปรับชุดความรู้ใหม่ที่ถูกต้อง และ Recharge คือการให้กำลังใจ เติมพลังใจเพื่อให้เด็กปฏิเสธบุหรี่ไฟฟ้า

 

 

 

 

หลักสูตรครูวิทยากรโตไปไม่สูบครั้งนี้ ไม่ได้แค่ ‘เข้าใจ’ วิธีการ แต่เป็นการชวน ‘อิน’ กับมันจริง ๆ หลายคนบอกว่า นี่คือครั้งแรกที่พวกเขาได้ออกแบบกิจกรรมที่เน้นนักเรียนเป็นศูนย์กลาง และเข้าถึงเด็กทุกกลุ่มตามแนวคิด Inclusive Education”

ครูวิทยากรโตไปไม่สูบไม่ได้ทำหน้าที่สอน แต่เป็นผู้ออกแบบพื้นที่ปลอดภัยทางความคิดให้เด็กกล้าตั้งคำถามกับสิ่งที่เห็นในโลกออนไลน์ และกล้าปฏิเสธสิ่งที่ไม่ควรรับเข้ามาในชีวิต และอีกหนึ่งแนวคิดสำคัญที่เรานำมาใช้คือ Inclusive Education หรือการเรียนรู้ที่คำนึงถึงความหลากหลายของนักเรียนแต่ละคน เพราะนักเรียนในโรงเรียนเดียวกันอาจมีภูมิหลังต่างกัน บางคนเคยใกล้ชิดกับบุหรี่ บางคนอาจมีพ่อแม่ที่สูบ บางคนอาจมีความบกพร่องทางการเรียนรู้ เราจึงต้องออกแบบกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ ‘ทุกคนมีส่วนร่วม’ ได้โดยไม่รู้สึกถูกกีดกัน ดังนั้น ครูที่เข้าร่วมอบรมครั้งนี้ ไม่ใช่แค่ได้รับความรู้ แต่ได้เป็น ‘นักออกแบบกิจกรรม’ ที่มีเครื่องมือครบมือ และพร้อมถ่ายทอดต่อ ผมเชื่อว่าเมื่อครูรู้วิธีจุดประกาย นักเรียนก็จะพร้อมลุกขึ้นมาตั้งคำถามและไม่ตกเป็นเหยื่อของกลยุทธ์การตลาดของบริษัทยาสูบอีกต่อไป

 


 

 

สิ่งที่น่าชื่นชมที่สุดคือ พลังของเครือข่ายครูที่เกิดขึ้นในเวทีนี้ ไม่เพียงต้องการเปลี่ยนแปลงในโรงเรียนตัวเอง แต่ยังอยากเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนสังคมในระดับจังหวัดและภาคใต้

ซึ่งบุหรี่ไฟฟ้าไม่ใช่ของเล่น แต่เป็นภัยเงียบที่เจาะกลุ่มเยาวชนอย่างจงใจ เราต้องเสริมเกราะป้องกันตั้งแต่โรงเรียน และครูคือหัวใจสำคัญที่สุดในการเริ่มต้น โดยเรามองหา ‘ครูแกนนำ’ ที่ไม่ใช่แค่รู้ แต่สามารถลงมือทำ ขยายผล และจุดประกายเครือข่ายในโรงเรียนอื่น ๆ ได้อย่างเป็นระบบ

ครูวิทยากรโตไปไม่สูบ ส่งผลให้เกิดเครือข่ายครูวิทยากรที่จะนำไปขยายผลใน 14 จังหวัดภาคใต้ที่เป็นสถานการณ์และความชุกความรุนแรงของบุหรี่ไฟฟ้าในขณะนี้ เป็นกิจกรรมภาคปฏิบัติและผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น จากการมีส่วนร่วมการวิเคราะห์กลยุทธ์การตลาดของบริษัทยาสูบ การเรียนรู้ผ่านกรณีศึกษา และสถานการณ์จำลองการจัดกิจกรรมในโรงเรียน การพัฒนาแนวคิดกิจกรรม “โตไปไม่สูบ” ที่ปรับให้เหมาะกับนักเรียนทุกกลุ่ม รวมถึงเวิร์กช็อปออกแบบการเรียนรู้ที่กระตุ้นให้เกิดการแลกเปลี่ยน มุมมองการปรับความคิดกไปสู่การปรับพฤติกรรม และการรวมพลังขยายเครือข่ายครู “โตไปไม่สูบ” ในรูปแบบโรงเรียนเครือข่ายในระดับชุมชนและจังหวัด ซึ่งผลลัพธ์ที่น่าสนใจ ที่จะเกิดครูวิทยากรใช้กระบวนการ Active Learning ผ่านการพัฒนาแผนกิจกรรมหรือโครงการที่เน้นกระบวนการมีส่วนร่วมของนักเรียน และการเชื่อมโยงกับผู้ปกครองและชุมชน เพื่อเป็นกลไกให้เกิดนิเวศแวดล้อมเด็กในการลดปัจจัยเสี่ยงในโรงเรียนได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีชุดกิจกรรม “รู้ทันกลยุทธ์บุหรี่ไฟฟ้า” ชุดสื่อคลิปในการสื่อสาร และชุดสื่อบอร์ดเกมในการเป็นเครื่องมือสื่อสารสุขภาพ: พี่สอนน้องรู้เท่าทัน” รวมถึงโมเดล “โรงเรียนนวัตกรรมลดปัจจัยเสี่ยงบุหรี่ไฟฟ้า” พร้อมแนวทางการประเมินผลและการเก็บข้อมูลสถานการณ์ความชุกในพื้นที่

 

เสียงจากครูผู้เข้าร่วมอบรม

 

นายอนุพงศ์ บุญประกอบ โรงเรียนปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวว่า “อบรมครั้งนี้เปลี่ยนมุมมองของฉันจากแค่ครูผู้สอน เป็นครูนักรณรงค์ ฉันรู้แล้วว่าครูทุกคนมีพลังเปลี่ยนแปลงได้”

 

นางสาวฟ้าประกาย กูแดหวา โรงเรียนควนโดนวิทยา จังหวัดสตูล กล่าวว่า  “สิ่งสำคัญที่สุดคือเราได้เห็นวิธีการออกแบบกิจกรรมที่เด็กสนใจ และสามารถนำกลับไปปรับใช้ได้จริงในโรงเรียนของเรา และกิจกรรมที่ทางวิทยากรได้แนะนำเป็นแนวทางที่คิดว่าน่าสนใจ แปลกใหม่ และคิดว่าจะนำไปใช้ในโรงเรียนได้ค่ะ”

 

นางสาวนูรอากีละห์ มะดากะ โรงเรียนสุคิรินวิทยา จังหวัดนราธิวาส กล่าวว่า “การได้เจอเพื่อนครูจากหลากหลายจังหวัด ช่วยให้เรามีกำลังใจ และเป็นกิจกรรมที่ดีมากๆ จากที่ไม่ค่อยได้รับรู้เรื่องนี้ในโรงเรียนทำให้มีแรงบันดาลใจในการขยายผลไปสู่โรงเรียนมากยิ่งขึ้นและได้แนวทางในการปรับความคิดและพฤติกรรมของนักสูบในโรงเรียนได้มากยิ่งขึ้นเช่นกัน”

 

หลังการอบรม ครูวิทยากร จะได้มีการนำความรู้ไปสื่อสารและจัดกระบวนการในโรงเรียนหรือในโรงเรียนเครือข่าย ในช่วงเดือนมิถุนายน ถึง กรกฎาคม และร่วมส่งแกนนำเข้าร่วมพัฒนาไอเดียนวัตกรรมลดปัจจัยเสี่ยง ในช่วงเดือนสิงหาคม พร้อมการสนับสนุนให้พัฒนาแผนรณรงค์ในโรงเรียนของตน ตลอดเดือนกันยายน 68 ถึง มกราคม 69  และเข้าร่วมเวทีแลกเปลี่ยนระดับเขตเพื่อขยายผลต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายสร้างต้นแบบโรงเรียนปลอดบุหรี่ไฟฟ้าใน 14 จังหวัดภาคใต้ภายในปี 2568

วีดีโอ

รูปภาพ

Image
Image
Image
Image
Image
Image
Image
Image
Image
Image
Image
Image
Image
Image
Image
Image
Image
Image
Image
Image
Image
Image
Image
Image